วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

......ก่อน.....จะสายเกินไป....



ก่อนจะสายเกินไป       

คนเราทุกคนมีเวลาเท่าๆ กัน คือวันละ 24 ชั่วโมง ไม่มีใครมีมากเป็นพิเศษ หรือน้อยกว่านี้ แต่ทำไมคนเราถึงชอบผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จริงวันเวลาผ่านไปเร็วมาก ในบางครั้งโอกาสบางอย่างวิ่งมาหาเรา แต่เราก็ไม่ไขว่คว้าเอาไว้ ซึ่งโอกาสแบบนั้นมันอาจจะไม่กลับมาหาเราอีก จึงเป็นการน่าเสียดายมาก ถ้าเราผลัด หรือปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป


ที่เราจะพูดถึงคือการรักพ่อแม่  ในโลกนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักเราเท่าพ่อแม่ของเรา ความรักของท่านเป็นความรักที่ไม่ต้องซื้อหา ไม่ต้องไขว่คว้า เราได้มันมาโดยง่ายดายและไม่มีเงื่อนไข ท่านเลี้ยงเรามาตั้งแต่เล็ก ให้ชีวิต ให้โอกาส ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านจะสามารถหามาให้ได้ แต่ตอนนั้น ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของความรักที่พ่อแม่มีให้ บางครั้งเราก็ไม่เชื่อฟังที่ท่านหวังดี บางครั้งเราก็ไม่รับโอกาสที่ท่านสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ เราดื้อ เราเถียง เราไม่เชื่อฟัง แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเราจะทำผิดสักแค่ไหน ทำพลาดไปเท่าไร ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อแม่จะไม่อภัยให้เรา ท่านยอมรับได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำลงไป ท่านให้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้เราได้แก้ตัว ท่านไม่เคยทิ้งให้เราต้องเดียวดาย คอยปกป้องและแก้ปัญหาให้เรามาตลอด พอเราโตขึ้นมามีโลกส่วนตัว มีกิจกรรมต่างๆ ของตัวเองทำได้โดยไม่ต้องปรึกษาท่าน ทำให้ท่านหลุดออกไปจากโลกส่วนตัวของเราโดยที่เราไม่รู้ตัวเช่นกัน เราคบเพื่อน คบแฟน อยากมีห้องส่วนตัว พูดกับพ่อแม่น้อยลง แต่พูดกับเพื่อนมากขึ้น มีเวลากับท่านน้อยลง แต่มีเวลากับแฟนมากขึ้น โดยไม่ทันฉุกใจคิดเลยว่า ท่านเหงา ได้แต่มองเราอยู่เงียบๆ ไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย.....ยิ่งโต เราก็ยิ่งห่างท่านขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีเวลาทานข้าวกับท่าน วันๆ ไม่ค่อยอยู่บ้าน เจอเพื่อนมากกว่าเจอพ่อแม่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ท่านไม่เคยทิ้งเราไปไหน ไม่ว่าเราต้องการท่านเมื่อใด ท่านจะอยู่ตรงที่เดิม อยู่ข้างๆ เราเสมอ.....


จนเราโตมามีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีสามี เวลาทุกข์ใจคนแรกที่เราคิดถึงจะเป็นพ่อแม่เสมอ แต่เวลาที่เรามีความสุข ท่านมักจะถูกซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ ดูไม่ยุติธรรมสำหรับพ่อแม่เลย....ความรู้สึกนี้ยิ่งรุนแรงเมื่อเรามีลูก เราสัมผัสได้ทันทีว่าการรัก ห่วง หวงลูกเป็นยังไง เหมือนหนังฉายย้อนกลับไปตอนที่เรายังเป็นลูก เรารู้สึกรักพ่อแม่ขึ้นมาจับใจ แต่เนื่องจากภาระครอบครัว ต้องดูแลครอบครัว ดูแลสามี ดูแลลูก ทำให้เราไม่ค่อยเหลือเวลาหันมาดูแลพ่อแม่เท่าไหร่นัก...เรามักจะผลัดเสมอว่า เดี๋ยวนะ วันพรุ่งนี้เราจะไปหาท่าน ซื้อข้าว ซื้อขนมที่ท่านชอบไปให้ หรือ รอสักอาทิตย์หน้านะ เราจะพาท่านไปเที่ยว ผลัดไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทำสักที จนท่านแก่เฒ่า เดินไม่ค่อยจะไหว หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ไปไหนไม่สะดวก ไปเที่ยวก็ไม่สนุก แต่เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว......


วันนี้...วันที่ท่านยังแข็งแรง ท่านยังเดินได้ด้วยตัวเอง สามารถทานอะไรอร่อยๆ ที่เราอยากให้ท่านทานได้ เราอย่ารีรอเลยค่ะ อย่าผลัด อย่าทิ้งโอกาสที่จะได้ตอบแทนความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของท่านเลย ลูกเรายังมีเวลาเติบโตก้าวไปข้างหน้าอีกยาวไกล แต่พ่อแม่ท่านเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ท่านรอคอยให้ลูกเหลียวหลังกลับมาสักนิด คิดถึงท่านสักหน่อย ไม่ทิ้งให้ท่านอยุ่อย่างเดียวดาย อย่าปล่อยมือท่าน จูงมือท่านไปพร้อมกับครอบครัวที่เรามี วันหนึ่งลูกเราก็จะโตขึ้น....ถ้าลูกได้เห็นตัวอย่างจากเรา ว่าเราไม่ได้ทอดทิ้งให้พ่อแม่เดียวดาย  เราเอาใจใส่ดูแล มันเป็นตัวอย่างที่ดี ที่ลูกจะจดจำและทำตาม โดยไม่ต้องอธิบายให้ลำบาก เพราะลูกได้เรียนรู้จากตัวอย่างจริงๆ ที่เราแสดงออกต่อท่าน  ทุกคนที่ยังมีพ่อแม่ให้ดูแล ท่านจงรู้ไว้เถิดว่าท่านโชคดีแค่ไหน ที่มีโอกาส ฉะนั้น ฉวยโอกาสตอนที่ท่านยังอยู่ ยังให้โอกาสเราดูแลท่าน ทำมันในวันนี้
............................................ก่อนที่จะสายเกินไป.......................................

สิ่งใดอยู่ใกล้....มัก....ไร้คุณค่า



สิ่งใดอยู่ใกล้....ไร้คุณค่า

                ดูเหมือนจะจริงอย่างที่เค้าพูดกันนะคะ “สิ่งใดอยู่ใกล้ มักไม่รู้คุณค่า ต่อเมื่อจากไปไกลตา ได้แต่ห่วงหาอาวรณ์”  ความหมายตามนั้นเลยค่ะ อะไรที่มันอยู่ใกล้ๆ  ไม่ว่ามันจะดี มันจะมีประโยชน์เพียงไหนก็ตาม คนที่อยู่ใกล้มักมองข้ามไปเสมอ เนื่องจากมันใกล้เกินไป  ใกล้จนชิน  จนไม่คิดถึงความสำคัญของคนใกล้ตัว


                เราคิดว่าทุกคนคงเคยเป็น  อาการมองข้ามคนใกล้ตัว ซึ่งดีกะเราที่สุด มองข้ามเพราะเค้าอยู่ใกล้เกินไป  คิดเสมอว่ายังไงๆ ซะ เค้าก็ต้องอยู่ตรงนั้น  ฉะนั้น  ถึงจะไม่ใส่ใจก็คงไม่เป็นไร เพราะเค้าคงไม่ไปไหน  จะบอกเลยว่าเป็นการคิดที่ผิดมหันต์ค่ะ  แต่เรื่องพวกนี้ บางทีเราพูดไปอาจจะเข้าใจยาก หรือไม่เข้าใจ บางทีต้องเจอกับตัวเอง แล้วจะรู้ว่าที่เราพูดถึงนี่จริงที่สุด  เราเคยเจอมากับตัวเองหลายครั้งหลายหน   ในสถานะต่างๆ กัน 

                เมื่อเราเป็นลูก  ตอนโตที่จะรู้ความ มีเพื่อน เราเห็นเพื่อนสำคัญกว่าคนในครอบครัว  ไม่เชิงว่าสำคัญกว่าพ่อแม่ เพียงแต่เราอยากอยู่กับเพื่อนมากกว่า  อยากคุยกับเพื่อนมากกว่า   ทั้งๆ ที่เพื่อนไม่ได้ทำกับข้าวให้เรากิน  เพื่อนไม่ได้ให้เงินเราใช้  เพียงแต่พ่อแม่มีกฎข้อบังคับ เราเลยไม่ค่อยอยากอยุ่กับพ่อแม่  ไม่อยากคุย ไม่ค่อยเห็นความสำคัญ หรือความดีที่ท่านพยายามทำกับเราหวังดีกับเรา  มองย้อนกลับไปถ้าเราคิดได้แบบวันนี้ เราจะรักท่านให้มาก ทำดีกับท่านให้มากเท่าที่เราจะทำได้ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจะมีท่านอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน


                เมื่อเราเป็นภรรยา  สถานะนี้เราเหมือนโดนกระทำมากกว่า  เหมือนกับคนรอบข้างไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเรา เห็นเราเป็นเพียงแค่ ภรรยา ซึ่งต้องทำหน้าที่ภรรยา  ทำหน้าที่แม่บ้าน ให้ได้ครบถ้วน และสมบูรณ์  มีหน้าที่ทำทุกอย่างที่จะอำนวยความสะดวกทุกคนภายในบ้าน  บางครั้งรู้สึกเสียใจ รู้สึกน้อยใจ  ว่าทำไมคนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีเราอยู่ ขณะเดียวกับคนอื่นที่อยู่นอกครอบครัว กลับเห็นว่าเรามีค่า  มีความสำคัญ แต่พอเหตุการณ์นั้นๆ ผ่านไป เราก็ลืม  พอเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็รู้สึกอีก อย่างนี้เรื่อยมา  

                เมื่อเราเป็นแม่.....เรารู้สึกตัวเองไม่ให้ความสำคัญกับลูกในบางครั้ง เช่น พูดกับหลานเพราะกว่าลูกตัวเอง อันนี้เหมือนกับว่าลูกเราเองไม่เป็นไร แต่ที่จริงแล้ว เราคิดผิดเอง  คนใกล้ตัวเรานี่สิ ที่เรายิ่งต้องพูดเพราะ และดูแลให้ดี เพราะเค้าเป็นลูกของเรา ไม่ใช่คนอื่น เป็นคนในครอบครัว  ขณะเดียวกันในบางโอกาส  เราก็รุ้สึกว่า เราถูกลูกๆ เราเอง มองข้ามความสำคัญที่เราเป็นแม่  เช่น  เชื่อเราน้อยกว่า เชื่อเพื่อน   รู้สึกว่าลูกไม่ค่อยอยากคุยกับเราเหมือนที่อยากคุยกับเพื่อนเลย พอนึกถึงตรงนี้ เหมือนหนังฉายย้อนหลัง  เมื่อครั้งสมัยเราเป็นเด็ก  เราเป็นลูก ที่ไม่ค่อยอยากคุยอะไรกะพ่อแม่มากนัก แต่พอกับเพื่อน เรามีเรื่องคุยได้ไม่จบ ไม่สิ้น   ตอนนั้น พ่อแม่คงคิดน้อยใจลูกอย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้  คิดแล้วสงสารพ่อแม่ขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก  ตอนนี้มันย้อนกลับมาให้เรารู้สึกเช่นนั้นแล้ว


                เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าเราสามารถรู้สึก และสำนึกได้เอง ตามวัย  ต้องบอกเลยว่ามันไม่ใช่  กว่าเราจะคิดได้ มันก็ล่วงเลยผ่านวัยเด็ก วัยรุ่น  และเป็นผู้ใหญ่  จนเป็นแม่คน และเราก็รู้สึกว่าทุกคนก็น่าจะเป็นแบบนี้ คือไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้สึกเลยว่า  สมัยก่อน พ่อแม่เคยเสียใจ น้อยใจพวกเราแค่ไหน  คำตอบที่เคยถามว่าทำไมเมื่อตอนเด็กๆ เช่น ทำไมแม่ไม่ยอมให้ออกไปเล่นข้างนอก  ทำไมพ่อไม่ยอมให้ไปบ้านเพื่อน  จะหวงอะไรหนักหนา  ตอนนี้คำตอบมันออกมาเป็นฉากๆ ให้เราได้รุ้  รู้จากเหตุการณ์จริงที่สัมผัสได้ในปัจจุบัน 


                ที่อยากเล่าให้ทุกคนได้รับรู้  เพียงเพราะอยากให้เราเข้าใจคนใกล้ตัว  และให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัว รักเค้าให้มาก เพราะเมื่อเราล้ม เราเจ็บ  คนใกล้ตัว หรือคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะคอยพยุง  คอยดูแล  เพื่อน หรือ คนนอกครอบครัว เค้าอาจจะมาช่วย มาดูแลบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ   วันนี้เรารู้แล้วว่า เราควรรักคนในครอบครัว  และให้ความสำคัญกับเค้าแค่ไหน  บางคนก็อยู่ให้เราได้รักและดูแล  บางคนก็ไม่อยู่เสียแล้ว  ถึงแม้เราจะรู้สึกเสียใจ แต่เราก็ย้อนเวลากลับไปไม่ได้  ฉะนั้นวันนี้  อย่าปลอ่ยให้มันผ่านไปอย่างไร้ค่า  เรามามองให้เห็นถึงความรัก ความหวังดี ของคนในครอบครัวกันนะคะ

ความสวย......ซื้อได้



ธุรกิจเช่าความสวย

                เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็มีให้หาซื้อและหาเช่า แม้กระทั่งความสวยงาม เห็นได้จากห้างสรรพสินค้าต่างๆ มีร้านทำผม แต่งหน้า ขายเสื้อผ้า และสถาบันความงาม ลดน้ำหนัก เกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด เพราะเค้าตระหนักดีว่า ผู้หญิงยอมไม่ได้เลยเรื่องความสวยงาม ถึงแม้บางคนจะเกิดมาสวยล้นแล้วก็ตาม และบางคนที่เกิดมาไม่ค่อยสวยก็อยากมาทำให้ตัวเองสวยขึ้นกันทั้งนั้น แม้จะต้องจ่ายเงินในการที่แพงแค่ไหนก็ตาม ผู้หญิงเราก็สามารถหามาเพื่อและกับความสวยงามได้

                                                                     

                  ไม่เพียงแต่สถาบันความงามต่างๆ ที่กล่าวมาเท่านั้น อาชีพหนึ่งที่สามารถทำรายได้ให้กับตัวเองได้มากก็คือ ช่างแต่งหน้า ช่างเสริมสวย พวกนี้ก็สวยด้วยการแต่งเป็นตัวช่วยทั้งนั้น บางคนก็มีต้นทุนความสวยติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว พอแต่งหน้าทำผมเสริมก็ยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ บางคนพอล้างหน้าให้เห็นหน้าสด ไม่มีเครื่องสำอางแต่งแต้ม คนดูอาจจะต้องปิดตาดูกันเลยทีเดียว ตามสุภาษิตโบราณว่าไว้ว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เสียจริงๆ  อันนี้เป็นเรื่องจริง แม้แต่ตัวเองก็เช่นกัน ถ้าสระผมเสร็จได้ไดร์จัดแต่งทรงผมให้เข้าที่เข้าทางจะดูขึ้นอีกมากมาย แต่ถ้าปล่อยไว้ก็จะกระเซิงไปตามเรื่องดูไม่ได้เลย หน้าตาเช่นกันปล่อยกันหน้ามัน หน้าคล้ำก็ไม่ไหว ถ้าลองได้แต่งแต้มมีสีสันสักนิด ทาแป้งให้หน้านวลผ่อง มีสีนิดหน่อย จะดูดีขึ้นได้ถึงจะไม่สวยก็เหอะ อย่างน้อยก็ช่วยได้มากเชียวค่ะ  
                                                                  

                         วันก่อนน้องสาวตัองเตรียมตัวไปงานของบริษัทที่ทำงานอยู่ ต้องหาเสื้อผ้า หน้าผมเตรียมเอาไว้ เลยชวนเราไปดูร้านๆ หนึ่งแถวพระราม 2 เป็นร้านที่ให้บริการเช่าเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ และยังรับทำผมแต่งหน้าให้อีกด้วยร้านแบบนี้เราเคยเห็นสมัยก่อน เป็นร้านที่ให้เช่าพวกชุดนักร้อง นางโชว์มากกว่า เคยเห็นตามทางที่เราขับรถผ่าน ร้านที่ให้เช่าชุดราตรีแบบนี้ไม่ค่อยเคยเห็นเท่าไหร่ เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจใหม่ มีไอเดียดี ทำให้คนไม่ต้องเปลืองเงินไปหาซื้อชุดออกงานที่ต้องการใส่เพียงครั้งเดียว หรือไม่กี่ครั้งให้มาสิ้นเปลือง ใส่เสร็จแล้วก็เก็บอยู่ในตู้เฉยๆ ไม่ได้เอาไปทำอะไร ถ้ามีร้านเช่าพวกนี้ ลูกค้าก็ไม่ต้องเสียเงินเยอะแยะเพื่อไปซื้อมาใส่เพียงครั้งเดียว ธุรกิจแบบนี้จับจุดลูกค้าที่ต้องการแต่งตัวสวยโดยไม่อยากเสียเงินมากๆ ซื้อชุดแพงๆ โดยหาชุดสวยๆ เหล่านั้นมาให้บริการเช่า กับลูกค้าที่ต้องการ ราคาก็ไม่สูงมากเกินไปนัก พร้อมทั้งมีบริการทำผมแต่งหน้า มีเครื่องประดับให้เช่า ครบทั้งชุด ประมาณว่า one stop shopping กันเลยทีเดียว เราไปกับน้องสาว ร้านเป็นทาวเฮ้าส์เล้กๆ ไม่ใหญ่มาก เปิดประตูเข้าไปก็เจอราวแขวนเสื้อผ้าเกือบจะเต็มพื่นที่ มีหลายราว ราวละหลายๆ ชุด แต่ละราวเน้นไปด้วยชุดราตรีสั้น ยาว หลากสี หลายแบบ  ด้านหน้าร้านมีที่ให้นั่งรอนิดหน่อย และมีห้องน้ำเล็กๆ ไว้ให้ลูกค้าได้ใช้เปลี่ยนลองเสื้อผ้า จนกว่าจะถูกใจ วันที่ไปคนเยอะพอสมควร ทำให้ห้องดูแน่นไปหมด ห้องน้ำก็ต้องรอคิวเพื่อเข้าไปลองชุด ยังคิดในใจเลยว่าเค้าใช้พื้นที่บ้านเต็มที่จริงๆ เค้าคิดค่าเช่าชุดละ 500 บาท เฉพาะเสือ้ผ้านะคะ ไม่รวมเครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า ค่าแต่งหน้า ทำผมอีกด้วย ถ้าลองแล้วชุดไม่พอดี เจ้าของร้านจะมีเด็กนั่งแก้ตรงนั้นเลย ถ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็รอเอาไปได้เลย แต่ถ้าเยอะก็ต้องนัดมารับกันอีกที เป็นธุรกิจที่ลูกค้าวิ่งมาหาเอง ไม่ต้องวิ่งออกไปให้เสียเวลา เสียน้ำมัน ลูกค้านำเงินมาให้ถึงบ้านกันเลย


                เราลองเลือกเสือ้ผ้ามาสักพัก มีความรู้สึกนิดนึงว่าเค้าเน้นปริมาณมาก ไม่ค่อยเน้นคุณภาพเท่าไหร่ ดูได้จากชุดที่เหมือนๆ กันหลายชุด การตัดเย็บเสื้อผ้าที่บางตัวดูตลาดนัดก็มี และซ้ำแบบ แต่ต่างสีกันเยอะมาก จนอดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้าเดินไปชนกันในงานเลี้ยงล่ะก็งามหน้ากันเลย น้องสาวเลือกได้สองชุดด แต่ก็ไม่ได้ถูกใจเท่าไหร่นัก เพราะบางชุดดูอลังการเกินเหตุ เลยต้องถอยออกมาตั้งตัวใหม่ กลับมาลองหาดูในเน็ต มีสวยๆ มากมาย แต่ก็อยู่ไกลเกินจะไปหา  บางทีไปแล้วก็ไม่ถูกใจเลยกลับมาคิดอีกทีว่าจะเช่า หรือจะไปเดินหาซื้อดีกว่ากัน   สรุปว่า เดี๋ยวนี้ความสวยความงามหาซื้อ หาเช่าได้โดยไม่ยาก ขอเพียงแต่เรามีเงิน จะเอาให้สวยแค่ไหน ไม่ใช่ปัญหา ธุรกิจแบบนี้เกิดขึ้นมาก็ถูกใจคุณผู้หญิงส่วนมากเลยที่มองหาความสวยงามให้กับตัวเอง